-
การกำหนดคำนิยามของคำว่า technology infrastructureนั้น ต้องคำนึงถึง โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีที่มีผลต่อคุณภาพการบริการแก่ผู้ใช้งานของระบบทั้งในแง่ของ
ความเร็ว(Speed) และ การตอบสนองต่อการร้องขอระบบ
(responsiveness)
-
การให้บริการ e - business ให้ผ่านมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีนั้นต้องกำหนความสามารถขององค์กรในการแข่งขันทางธุรกิจผ่านการความแตกต่างให้กับตัวเองในตลาด
-
McAfee และ Brynjolfsson (2008)ได้กล่าวว่า เทคโนโลยีดิจิตอล เพื่อสนับสนุนการแข่งขันทางธุรกิจ
สำหรับผู้บริหาร หรือ CEO ควรจะ
-
“Deploy, innovate, and propagate’: First, deploy
aconsistent technology platform. Then separate yourselffrom the pack by coming
up with better ways of working.Finally, use the platform to propagate these
businessinnovations widely and reliably. In this regard, deploying ITserves two
distinct roles – as a catalyst for innovative ideas and as an engine for
delivering them.”
E-business
infrastructure หมายถึงการรวมกันของฮาร์ดแวร์เช่น Server,
Client PC ในองค์กรรวมถึงการใช้เครือข่ายในการเชื่อมโยงฮาร์ดแวร์เหล่านี้และการใช้งานซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการส่งมอบบริการให้กับผู้ใช้งานที่อยู่ในบริษัทและยังรวมถึงคู่ค้าและลูกค้าของตน
ซึ่งคำว่า Infrastructure ยังรวมไปถึงสถาปัตยกรรมทางด้านHardware
, Software และ เครือข่าย ที่มีอยู่ในบริษัทด้วย และท้ายที่สุด ยังรวมไปถึง กระบวนการในการนำเข้าข้อมูลและเอกสารเข้าสู่ระบบ
E-business ด้วย
ส่วนประกอบของโครงสร้างพื้นฐาน
LOGO E-business infrastructure components
-
Internet ช่วยให้การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องที่เชื่อมต่อทั่วโลก
แต่ในการถ่ายโอนข้อมูลนั้นไร้รอยต่อของวิธีการเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การร้องขอข้อมูลจะถูกส่งจากคอมพิวเตอร์ไคลเอนต์และอุปกรณ์มือถือที่มีผู้ใช้ร้องขอการบริการให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลโปรแกรมประยุกต์ทางธุรกิจและโฮสต์ที่ส่งมอบการบริการในการตอบสนองต่อการร้องขอ
ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงเป็นระบบเขนาดใหญ่ในรูปแบบ Client /Server
Hosting of web sites and e-business services
ตัวอย่าง Hosting ในไทย
Intranet applications
อินทราเน็ตถูกใช้อย่างกว้างขวางเพื่อรองรับการขายในด้านธุรกิจ e -commerceโดยเน้นทํางานจากฝ่ายการตลาดเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมหลักของ supply-chain management โดยการตลาดเครือข่ายอินทราเน็ตมีข้อได้เปรียบต่อดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ลดวงจรชีวิตเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และแคมเปญการตลาดที่เป็นเหตุผลที่เราจะได้รับสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น
- ค่าใช้จ่ายที่ลดลงผ่านการผลิตที่สูงขึ้นและเงินฝากออมทรัพย์ในการคัดลอกยาก
- การสนับสนุนลูกค้าที่ให้บริการตอบสนองและส่วนบุคคลที่ดีกับพนักงานในการเข้าถึงลูกค้าผ่านเว็บ
Extranet applications
- เอ็กซ์ทราเน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลโดยควบคุมจากภายนอกองค์กร สําหรับธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง
- การประยุกต์ใช้เอ็กซ์ทราเน็ตโปรแกรมนั้น ข้อมูลซอฟต์แวร์จะจํากัด การเข้าถึงของบริษัทโดยแสดงข้อมูลภายในให้กับผู้ใช้ภายนอกเช่น ลูกค้าและซัพพลายเออ สามารถจํากัดการเข้าถึงข้อมูล และมักจะมีความสามารถในการสั่งซื้อสินค้าและบริการตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อบริการลูกค้าร้องขอได้มากขึ้น
- เช่น www.ifrazone.com เหมาะกับธุรกิจแบบ B2B
Firewalls
ไฟร์วอลล์ที่มีความจำเป็นในการสร้างอินทราเน็ตหรือเอ็กซ์ทราเน็ต เพื่อให้แน่ใจว่าการเข้าถึงข้อมูลภายนอกที่เป็นความลับ จะไม่เกิดขึ้นไฟร์วอลล์จะถูกสร้างขึ้นเป็นซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์ที่แยกต่างหากที่จุดที่บริษัท มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์นั้นจะสามารถ กำหนดค่าให้ยอมรับเฉพาะการเชื่อมโยงจากโดเมนที่เชื่อถือได้เป็นตัวแทนของสำนักงานอื่น ในบริษัทไฟร์วอลล์มผลกระทบต่อ e-marketing ตั้งแต่พนักงานเข้าถึงเว็บไซต์จากการทำงานอาจจะไม่สามารถที่จ เข้าถึงเนื้อหา เช่นกราฟิก ปลั๊กอิน การใช้ไฟร์วอลล์ภายในโครงสร้างพื้นฐานของบริษัท ที่มีการแสดงในรูปที่3.6 จะเห็นว่าหลายไฟร์วอลล์จะใช้ในการปกป้องข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ข้อมูลการให้บริการแก่ บุคคลที่สาม ผ่านทางอินเทอร์เน็ตและ เอ็กซ์ทราเน็ตจะถูกแบ่งพาร์ติชันโดยไฟร์วอลล์อื่นโดยใช้สิ่งที่เรียกว่า "เขตปลอดทหาร" ( DMZ ) ข้อมูลขององค์กรบนอินทราเน็ตจะติดตั้งแล้วบนเซิร์ฟเวอร์อื่นๆภายใน
Web technology
คำว่า World Wide Web, หรือเรียกสั้ นๆว่า ‘web’ คือขั้นตอนมาตรฐานในการแลกเปลี ยนข้อมูล ข้อมูลสาธารณะบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยรูปแบบเอกสารพื้ นฐานคือ HTML (Hypertext Markup Language)หรือ การบริการหนึ่งในรูปแบบต่างๆของการให้บริการของอินเตอร์เน็ต สําหรับผู้พัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ต้องการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านเว็บหรืออินเตอร์เน็ต แล้วจะต้องรู้และเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับโปรโตคอล (Protocal) - มาตรฐานในการรับส่งข้อมูล
Web browsers and servers
- เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เบราว์เซอร์หรือโปรแกรมดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเว็บที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่นๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
- รายชื่อเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
- Internet Explorer
- Mozilla Firefox
- Google Chrome
- Safari
- เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการที่เก็บเว็บไซต์ (Server) แล้วให้ผู้ใช้ (Client) เรียกชมหน้าเว็บไซต์ได้โดยใช้โพรโทคอล HTTP ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์
- ซอฟต์แวร์ หรือ โปรแกรมที่นํามาทําเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 4 อันดับแรก คือ
- Apache HTTP Serverจาก Apache Software Foundation
- Internet Information Server(IIS) จากไมโครซอฟท์
- Sun Java System Web Serverจากซัน ไมโครซิสเต็มส์
- Zeus Web Serverจาก Zeus Technology
browser compatibility
การตรวจสอบเว็บไชต์สามารถรองรับกับการเข้าชมเว็บไซต์ผ่าน Browser ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ซึ่งเมื่อนักพัฒนาโปรแกรมพัฒนาเว็บไซต์ขึ้นมาแล้วต้องคํานึงถึงเว็บไชต์นั้นๆ สามารถใช้งานผ่าน browser ต่างๆได้หรือไม่ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมช่วยทดสอบ ในเรื่องของ browser compatibility เช่น
การใช้งานซอฟต์แวร์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเข้าถึง
วิวัฒนาการ Web 1.0, Web 2.0 to Web 3.0
Web 1.0 = Read Only, Static Data with simple markup
Web 1.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว( Read-only ) เป็นเทคโนโลยีที่ สามารถที่ สามารถแก้ไขข้อมูล หน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ ( Web master )เป็นเว็บที่ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นเว็บรุ่นแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ ส่วนมากจะใช้ภาษา html (Hyper Text Markup Language) เป็นภาษาสําหรับการพัฒนา Web 1.0 นั้นเป็นเรื่องของการที่ผู้ให้บริการนําเสนอข้อมูลให้กับบุคคลทั่วไป โดยทําในลักษณะเดียวกับหนังสือทั่วไป ที ผู้อ่านมีส่วนร่วมน้อยมากในการเติมแต่งข้อมูล ต่อมาเริ่มมีการนําเอา Java Script และภาษา PHP (Hyper Text preprocessor) มาใช้งาน
Web 2.0 = Read/Write, Dynamic Data through Web Services
Web 2.0 คือ ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่พัฒนาต่อจาก web 1.0 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผ้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก วิพีเดีย เป็นต้น ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลมาเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี ด้วย บุคคลทั่วไปคือผู้สร้างเนื้อหา และนําเสนอข้อมูลต่างๆ จาก Web 2.0 ในเปลือกนัท ทําให้เราเข้าใจว่าในยุคที่ 2 นั นเป็นเรื่องของการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง โดยการสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังตัวอย่างที่เป็นสิ่งที่ทุกคนคงร้จักกันดีอย่าง Wikipedia ทําให้ความร้ถูกต่อยอดไปอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดจากการคานอํานาจของข้อมูลของแต่ละบุคคลทําให้ข้อมูลนั นถูกต้องมากที่สุด และจะถูกมากขึ้นเมื่อเรื่องนั้นถูกขัดเกลามาตามระยะเวลายาวนาน
Web 3.0 = Read/Write/Relate, Data with structured Metadata + managed identity
Web 3.0 เป็นการนําแนวคิดของ Web 2.0 มาทําให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจํานวนมากๆ ให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทําให้เว็บกลายเป็น Semantic Web คือ ตัว Web จะทําหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น แล้วให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน โดยข้อมูลแต่ละ Tag จะมีความสัมพันธ์กับอีก Tag หนึ่งโดยปริยาย ทําให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นฐานข้อมูล ความรู้ขนาดใหญ่ ท่ ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น Web 3.0 จะพัฒนาไปในลักษณะ Segment of One คือ Segment ที่มีบุคคลแค่คนเดียว หรือ ตอบโจทย์ความเป็นส่วนบุคคล เช่น อยากไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ เมื่อค้นข้อมูลแล้วเว็บไซต์จะเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะจากสายการบินต่างๆ แพ็กเกจไหนดีที่สุด และนํามาเช็คกับตารางของผู้ใช้ว่าตารางเวลาตรงกันไหม หรือจะนําไปเช็คกับตารางของเพื่อนที่ญี่ปู่นใน Social Network เพื่อนัดเวลาที่ตรงกันเพื่อพบปะทานข้าวร่วมกันก็ได้ ในยุคสื่อดิจิตอล
web 3.0
AI (Artificial Intelligence)
หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นการสร้างความฉลาดให้ระบบคอมพิวเตอร์ ทําให้สามารถคาดเดาพฤติกรรมและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้งานเว็บช่วยในการค้นหาข้อมูลซึ่งมีจํานวนมากเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่ สุด
semantic web
คือ การรวมของฐานข้อมูลแบบ อัตโนมัติโดยใช้การคาดเดาและหลักทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย ซึ่งผลลัพธ์ของ Application ที่ สร้างขึ้นบน Semantic Web จะถูกส่งไปยังอินเทอร์เน็ต และส่งต่อไปยัง Web Browser เช่น Internet Explorer, Firefox เป็นต้นโดยเว็บเบราเซอร์ อาจจะถูกฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น โทรทัศน์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอุปกรณ์ที่ถูกฝังเว็บเบราเซอร์ไว้ในตัวนั้นส่วนใหญ่จะสามารถเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้
Automated reasoning
การเขียนโปรแกรมให้ระบบคอมพิวเตอร์รู้จักการแก้ปัญหาเอง มีการประมวลผลได้อย่างสมเหตุสมผลพร้อมทั้งแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเองได้โดยอัตโนมัติ จะสามารถคาดเดาผู้ใช้งานได้ว่ากําลังค้นหาหรือคิดอะไรอยู่เป็นการผสมผสาน Application หรือ โปรแกรมหรือบริการต่างๆของเว็บที่มาจากแหล่งต่างๆเข้าไว้ด้วยกันเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน
semantic wiki
เป็นการอธิบายคําๆหนึ่งคล้ายกับดิกชันนารีดังนั้ นทําให้เราสามารถหาความหมายหรือข้อมูลต่างๆได้ละเอียดและแม่นยํามากขึ้น
ontology language หรือ OWL
เป็นภาษาที่ใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆให้มีความสัมพันธ์กันโดยดูจากความหมายของสิ่งนั้นๆซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับระบบ Metadataคือภาษาที่ใช้เป็นตัวอธิบายข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Data about Data) หรือ “ข้อมูลที ใช้อธิบายความหมายของข้อมูล” หรือ Tags นั้นเอง
Blog
- Blog มาจากคําเต็มว่าWeBlog บางครั้งอ่านว่า We Blog บางคนอ่านว่าWeb Log
- Blog คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้ อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ซึ่งข้อมูลประกอบด้วยข้อความ, รูปและลิงค์
- การเพิ่มบทความให้กับ blog ที่มีอยู่ เรียกว่า “blogging”
- บทความใน blog เรียกว่า “posts” หรือ “entries”
- บุคคลที่โพสลงใน “entries”เรียกว่า “blogger”
1. เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อกและผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
2. มีความสะดวกและง่ายในการเขียน Blog ทําให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็นของผู้เขียน blog ได้ง่ายขึ้น
3. Comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันบางครั้ งทําให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ
ข้อแตกต่างของ Blog กับเว็บประเภทอื่น
1. การใส่ข้อมูลใหม่ทําได้ง่าย
2. มี template อัตโนมัติช่วยจัดการ
3. มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภทผู้แต่งหรืออื่นๆ
4. ผู้ดูแลจัดการ blog สามารถเชิญ หรือเพิ่มผู้แต่งคนอื่นโดยจัดการเรื่องการอนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย
5. เจ้าของ blog จะเป็นผู้สร้างหัวข้อสนทนาเท่านั้น
ตังอย่างการสร้าง Blog
Internet Forum
- ทําหน้าที่คล้าย bulletin board และnewsgroup
- มีการรวบรวมข้อมูลทั่วๆไป เช่น เทคโนโลยี, เกม,คอมพิวเตอร์, การเมือง ฯลฯ
- ผู้ใช้สามารถโพส์หัวข้อลงไปในกระดานได้
- ผู้ใช้คนอื่นๆ ก็สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั้งโพส์ความคิดเห็นของตนเองลงไปได้
ตัวอย่าง Forum เรื่องคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
Wiki
- Wiki อ่านออกเสียง "wicky", "weekee" หรือ"veekee"
- สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร html เหมือนแต่ก่อน
- Wiki เน้นการทําระบบสารานุกรม, HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกนโดยเฉพาะ
- มีเครื่องมือที่ใช้ทํา Wiki หลายอย่าง เช่น Wikipedia เป็นต้น
- Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม(Encyclopedia) สาธารณะที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้รองรับภาษามากกว่า 70 ภาษารวมทั้งภาษาไทย
- มีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์วิกิที่สําคัญยิ่งในการสร้างสารานุกรมที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาร่วมกันสร้างสารานุกรมที่ http://www.wikipedia.org
- วิกิพีเดียในภาคภาษาไทยที่ http://th.wikipedia.org
- ในปัจจุบันวิกิพีเดียถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่สําคัญ
ตัวอย่างเว็บไซต์ Wiki
Instant Messaging
- เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่ายที่เป็นแบบrelative privacy
- ตัวอย่างเช่น Gtalk , Skype , Meetro , ICQ , Yahoo Messenger , MSN Messenger และAOL Instant Messenger เป็นต้น
ตัวอย่างโปรแกรม Instant Messaging
Folksonomy
- ก่อนหน้าการกำเนิดขึ้นของปัจเจกวิธาน โดยทั่วไปแล้วได้มีการจัดกลุ่มการจัดระเบียบและค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
- ค้นหาในเนื้อความ (Text Search)
- เรียงเนื้อหาตามลําดับเวลา (Chronological)
- แยกตามกลุ่มประเภท(Category, Classification)
- ค้นหาในเนื้อความ (Text Search)
- ตัวอย่างเช่น Google ที่ก่อตั้งโดย Sergery Brin และ Larry Page
- ได้ออกแบบเพื่ อจัดอันดับความสําคัญของเว็บโดยคํานวณจากการนับ Link จากเว็บอื่ นที่ชี้ มาที่เว็บหนึ่ง ๆ
- เป็นที่น่าติดตามว่าจะมีเทคนิควิธีในการค้นหาข้อมูลใหม่ๆ
- เรียงเนื้อหาตามลําดับเวลา (Chronological)
- เนื้อหาข้อมูลจะถูกจัดเก็บเรียงลําดับเวลาโดยแสดงตามเวลาใหม่ล่าสุดก่อน
- เช่น เว็บไซต์ประเภทข่าวอย่าง CNN, BBC และ google news เนื้อหาเก่าจะตกไปอยู่ด้านล่าง
- Blog ก็ใช้วิธีจัดเรียงตามเวลาเช่นกัน
- ทั้งนี้หากต้องการอ่านเนื้อหาเก่าก็สามารถคลิกดูที่ปฏิทินได้
- แยกตามกลุ่มประเภท (Category, Classification)
- การจัดระเบียบแบบนี้ ยึดเอาหัวข้อเป็นหลักแล้วแยกประเภทออกไป เช่น แบ่งหนังสือเป็นประเภทธุรกิจ, หนังสือเด็ก, นวนิยาย, คอมพิวเตอร์, ศาสนา, วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ลักษณะอื่น ๆ
- จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
- ปัญหาที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต มีดังต่อไปนี้
- เนื้อหามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรายวัน
- การค้นหาข้อมูลที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดทําได้ยาก เนื่องจากเนื้อหาที่มีจํานวนมาก
- การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านที่ขึ้นกับความสนใจของผู้ทําการค้นไม่ตรงจุด
- ข้อมูลที่พบอาจจะขาดความน่าเชื อถือ
- ตัวอย่างโครงการที่ใช้อาสาสมัครมาช่วยกันจัดระเบียบกลุ่ม
- โครงการ Open Directory Project (http://dmoz.org/)
- แม้กระนั้นก็ตามโครงการนี้ก็ยังไม่สามารถโตได้ทันกับการเติบโตของเว็บทั้งหมดได้เลย นี่เองเป็นแรงผลักให้เกิดระบบ ปัจเจกวิธาน ขึ้น
- เป็นรูปแบบหนึ่งในการจัดการข่าวสารความรู้สําหรับปัจเจกบุคคลอันนํามาซึ่งประโยชน์อันกว้างขวางในการศึกษาความสนใจและพฤติกรรมของกลุ่มชนหรือสังคมโดยรวมได้
- กำเนิดปัจเจกวิธาน
- Joshua Schachter เริ่มรวบรวมเก็บเว็บต่างๆ เป็น Bookmark ของตนเองคนเดียวไว้มากและใช้ Keyword เพื่ อจัดกลุ่มแทน
- เช่น “search engine tools” และ“password security tools” เมื่อต้องการเรียกเว็บที่มีคําว่า tools ก็จะสามารถดึงรายชื่อเว็บทั้งหมดออกมาได้ทันที
- ปัจเจกวิธาน เรียก keyword นี้ว่า tag เป็นคําสัก 2 - 7 คําที่เกี่ยวกับเว็บใหม่ที่สามารถจัดเป็นกลุ่มเว็บได้
- Tag
- วิธีการใช้ tag นี้มีความสะดวกตรงที่ไม่ต้องจําลําดับชั้ นการจัดระเบียบเช่นเดิม การค้นเจอเว็บก็ได้จาก tag หลายๆตัวได้ไม่จํากัดอยู่แต่ข้อมูลใน Folder เดียวกัน Joshua นําให้ทุก ๆ คนสามารถตรวจดูเว็บที่มีการตั้งชื่อ tag โดยผู้อื่นได้
รูปตัวอย่างที่ รวม tag คําว่า tools
กระแสการติดตามเว็บใหม่ (Stream and Feed)
- จากตัวอย่างมีหน้าเฉพาะสําหรับ Tag คําว่า Tools ซึ่งก็อาจจะมีหน้าเฉพาะอื่นๆ ให้เข้าไปติดตาม Tag เฉพาะใดๆได้ เช่น ถ้าท่านสนใจเรื่องภาษาไทย ท่านอาจจะตามอ่านได้จากหน้า “ tag/thai” หรือ “tag/thai+language”
- นอกจากนี้ ยังมีการสร้าง RSS feed สําหรับหน้าดังกล่าว เพื่อใช้เตือนทางRSS reader ว่ามีเนื้อหาใหม่ๆตาม Tag ดังกล่าว เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมา
ตัวอย่าง RSS feed
กลุ่ม Tag ก่อตัวกันมองคล้ายกลุ่มเมฆ (Tag Cloud)
- เมื่อมีการใส่ tag เป็นจํานวนมากแล้วระบบของปัจเจกวิธาน สามารถแสดงภาพรวมออกมาได้ว่าทุกๆคนใช้ tag ใดมากน้อยเพียงใด (ดังรูป) Tag ใดที่มีคนใช้มาก ก็จะตัวใหญ่ tag ใดใช้น้อยก็จะตัวเล็ก
- การแสดงภาพรวมนี้ สามารถทําได้ทั้งของทุกๆคนรวมกันหรือเฉพาะบุคคลไป ซึ่งจะชี้ให้เห็นได้ว่าบุคคลนั้นสนใจเรื่องใดบ้าง
ตัวอย่าง Tag Cloud
อนาคตของ ปัจเจกวิธาน (Folksonomy)
- ระบบการใช้ tag จะมีการนําไปประยุกต์ใช้กับ Blog และ Wiki เพื่อความสะดวกให้การค้นหาความรู้ต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในซอฟต์แวร์ทั้งสอง
- ในระยะยาวอาจจะมีการแข่งขันของโปรแกรมลักษณะนี้อีกก็เป็นไปได้โดยที่อาจจะมีคุณลักษณะเพิ่มเติมที่ง่ายต่อการใช้งาน และมีความสามารถใหม่ ๆ
Networking standards
- ในส่วนนี้จะกล่าวถึง Internet Standard เป็นขบวนการที่เกี่ยวข้องกับทุกๆ protocol & procedure และระเบียบแบบแผนต่างๆ ที่ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ต ไม่จําเป็นว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของ TCP/IP protocol หรือไม่ ในกรณีของหลายๆ protocol จะถูกพัฒนาและทําให้เป็นมาตราฐานด้วยองค์กรที่ไม่ใช่ เป็นองค์กรของอินเตอร์เน็ต (non-Internet organizations) แต่อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว the Internet Standards Process ก็จะถูกทําให้เป็น application ของโปรโตคอลและ procedure ของ Internet context ไม่ใช่ว่าเพื่อระบุให้โปรโตคอลของมันเอง
TCP/IP
- ข้อตกลงในการควบคุมการรับส่งข้อมูล และ internet หรือprotocol ของระบบ internet Transmission ControlProtocol/InternetProtocol
- โปรโตคอล TCP/IP เป็ นชื)อเรียกของชุดโปรโตคอลที่สําคัญ มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายตามการขยายตัวของอินเตอร์เน็ต/อินทราเน็ต ความจริงแล้วโปรโตคอลTCP/IP เป็นกลุ่มของโปรโตคอลหลายตัวที่ประกอบกันเป็นชุดให้ใช้งาน โดยมีคําเต็มว่า Transmission Control Protocol/Internet Protocol ซึ่งจากชื่อเต็มทําให้เราเห็นว่าอย่างน้อยก็มีโปรโตคอลประกอบกันทํางานร่วมกัน 2 โปรโตคอลคือ TCPและ IP
- โปรโตคอลที่มีบทบาทสําคัญในการทํางานในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต คือ Internet Protocol (โปรโตคอล IP) เนื่องจากเมื่อโปรโตคอลอื่นๆต้องการส่งผานข้อมูลข้ามเครือข่ายในอินเตอร์เน็ตนั้น จะต้องอาศัยการผนึกข้อมูล (encapsulation) ไปกับโปรโตคอล IP ที่มีกลไกการระบุเส้นทาง(route service)ผ่าน Gateway หรือ Router เนื่องจากกลไกการระบุเส้นทาง จะทํางานที่โปรโตคอล IP เท่านั้น และด้วยเหตุนี้เราจึงเรียก IP ว่าเป็นโปรโตคอลที่มีความสามารถระบุเส้นทางการส่งผ่านของข้อมูลได้ (routable)
The HTTP protocol
- HTTP มาจากคําว่า Hypertext TransferProtocol ซึ่งเป็น protocol ที่ใช้ในการส่งเดต้าต่างๆในโลกของ WorldWideWeb. เดต้าต่างๆ เหล่านี้โดยทั่วไปมักจะถูกเรียกว่า Resource โดย Resource เหล่านี้อาจจะเป็นไฟล์ เช่น HTML ไฟล์, imageไฟล์ หรือคําสั่งต่างๆ (QueryString)
- HTTP เป็น network protocol ที่ใช้หลักการของ client-server model ในการติดต่อสื่อสารซึ่งหลักการทํางานอยางคร่าว ๆ มีดังนี้
1. HTTP Client จะทําการสร้างคอนเนคชั่นไปหา HTTP Server ซึ่งโดยทั่วไปจะผ่านทาง socket ของ TCP/IP
2. หลังจากนั้น HTTP Client จะทําการส่งคําสั่ง (request) ซึ่งอยู่ในรูปของ message ไปให้ HTTP Server เพื่อทวงถามถึง resource ที่ต้องการ
3. HTTP Server จะทําการตีความคําสั่งที่ได้และส่งผล (response) ซึ่งเป็น resource ที่ HTTP Client ต้องการกลับมา ผลที่ส่งกลับมาจะเป็นลักษณะของ message คล้ายกับ requet ของ HTTP Client ที่ส่งมาให้ HTTP Server
4. หลังจากที่การส่ง response เสร็จสิ้น, HTTP Server จะทําการปิดคอนเนคชั่นที่มาจาก HTTP Client
5. ในกรณีที่ HTTP Client ต้องการ resource อื่นๆ, HTTP Client จะต้องทําการสร้างคอนเนคชั่นใหม่และส่งคําสั่งไปหา HTTP Server อีกครั้ง จากหลักการข้างต้นจะเห็นว่าการติดต่อสื่อสารระหว่าง Client และ Server จะเป็นลักษณะครั้งต่อครั้ง ในทาง network เราเรียกการติดต่อสื่อสารแบบนี้ว่า Stateless Protocol
Uniform resource locators (URLs)
- คือตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากล (URI) ประเภทหนึ่งซึ่งใช้สําหรับระบุแหล่งที่อยู่ของทรัพยากที่ต้องการ และมีกลไกบางอย่างสําหรับดึงข้อมูลทรัพยากรนั้นมา ในการใช้ในเอกสารทางเทคนิคและการอภิปรายทั่วไปมักจะใช้ยูอาร์แอลแทนความหมายที่คล้ายกับยูอาร์ไอ ซึ่งไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้องและอาจทําให้เกิดความสับสน ในภาษาพูดทั่วไป ยูอาร์แอลอาจหมายถึง ที่อยู่บนเว็บหรือที่อยู่อินเทอร์เน็ตก็ได้ซึ่งปกติแล้วเรามักพิมพ์ยูอาร์แอลในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์เพื่อเรียกข้อมูลจากเว็บไซต์
- http://www.domain-name.extension/filename.html
Domain names
- คือ ชื่อเว็บไซต์(www.yourdomain.com)ที่สามารถเป็นเจ้าของ ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกับคนอื่น เพื่อการเรียกหาเว็บไซต์ที่ต้องการ “ชื่อเว็บไซต์” คือ สิ่งแรกที่แสดง หรือ ประกาศความมีตัวตนบนอินเตอร์เน็ตให้คนทั่วไปได้รู้จัก สามารถมีได้ชื่อเดียวในโลกเท่านั้น เช่น www.gict.co.th เมื่อผู้ใช้กรอกชื่อลงไปในช่อง Address ของ Internet Explorer ก็จะส่งชื่อไปร้องถามจากเครื่องแปลชื่อโดเมน (Domain Name Server) และได้รับกลับมาเป็นไอพีแอดเดรส (Internet Protocol) แล้วส่งคําร้องไปให้กับเครื่องปลายทางตามไอพีแอดเดรสและได้ข้อมูลกลับมาตามรูปแบบที่ร้องขอไป
ข้อควรร้ก่อนจดโดเมน
- ความยาวของชื่อ Domain ตั้งได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
- Domain ต้องจดในชื่อของเราเท่านั้น Domain Ownership
- ถ้าเป็น Domain ของบริษัท พยายามจดภายใต้ชื่อบริษัท อย่าจดด้วยชื่อพนักงาน IT
- ข้อมูลที่สําคัญที่สุดของ Domain คือ Owner Detail
- ใช้อีเมล์ที่จะอยู่กับเราตลอดไปในการจดโดเมน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ติดต่อกับเราเรียกว่า Registrant E-mail
- บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ Domain ของเราไว้ให้ดี วันหมดอายุ ผู้ติดต่อและอื่น ๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น